เขียนแหล่งที่มาของข้อมูล. เขียนว่าเราได้แหล่งข้อมูลมาจากที่ใด เราจะสามารถอ้างแหล่งข้อมูลนั้นได้ โดยปกติข้อมูลเอกสารอ้างอิงประกอบด้วยชื่อผู้เขียน ชื่อบทความ ปี เลขหน้า และผู้จัดพิมพ์

คา การอา่ นแจกลูกสะกดคา ( สะกดเพือ่ อา่ น )

คำนึงถึงผู้อ่าน. คิดสิว่าใครจะเป็นคนอ่านบทความนี้ เราจะต้องคำนึงถึงระดับของผู้อ่าน ความสนใจ ความคาดหวัง และปัจจัยอื่นๆ

อา่ นออกเสียงคาทีส่ ะกดมาตราแม่ กก ไม่ตรงมาตราตวั สะกด

” “ซื้อฉันสิ!” คำพูดเหล่านั้นเริ่มดังเวียนวนอยู่รอบตัวจนเขาทนไม่ไหวจึงออกจากร้านไปโดยไม่ซื้ออะไรเลย”

 ( ตอบถูกต้อง ๘ – ๑๐ ข้อ ถือวา่ ผ่านเกณฑก์ ารประเมนิ )

ตัวอย่างเช่น สมมติว่าเรากำลังเขียนเกี่ยวกับผู้บริโภคคนหนึ่ง คนคนนั้นตัดสินใจไม่ถูกว่าจะซื้ออาหารติดฉลากออร์แกนิกยี่ห้อใดดี “ชาลีกำลังดูกระปุกเนยถั่วที่ชั้น คำว่า “ออร์แกนิก” และ สล็อตออนไลน์ “ธรรมชาติ” ดูเหมือนจะกระโดดเข้าใส่เขา กระปุกทุกกระปุกต่างพูดอะไรไม่เหมือนกัน เขารู้สึกว่ากระปุกพวกนั้นกำลังตะโกนว่า ”เลือกฉันเถอะ!

๑. นักเรียนตอ้ งตงั้ ใจฟงั ครู และทาความเขา้ ใจเนอ้ื หาในแต่ละแบบฝึก

คาชแี้ จง นักเรยี นเขียนเครอ่ื งหมาย  หน้าคาที่สะกดด้วย

เมื่อเขียนบทความ เริ่มประโยคที่ทำให้ผู้อ่านติดตามอ่านอย่าง “ต่อเนื่อง” ทุกย่อหน้า ประโยคควรมีความสั้นยาวที่หลากหลาย ถ้าทุกประโยคมีความยาวเท่ากันหมด จะทำให้ผู้อ่านเริ่ม “จับ” จังหวะการเขียนของเราได้และเผลอหลับ แต่ถ้าประโยคไม่ต่อเนื่องกันเลยและสั้น ผู้อ่านก็อาจจะคิดว่าเรากำลังเขียนโฆษณามากกว่าเขียนบทความที่ได้รับการเรียบเรียงความคิดมาอย่างดี

อ่านบทความของตนเองออกมาดังๆ. ฟังน้ำเสียง จังหวะ ความยาวประโยค การเชื่อมโยง ความผิดทางไวยากรณ์ และเนื้อหา รวมทั้งประเด็นที่น่าสนใจ ให้คิดว่างานเขียนของตนเองเป็นบทเพลง ลองฟังเนื้อหาที่ตนเองอ่าน แล้วประเมินคุณภาพ จุดแข็ง และจุดอ่อน

๑. เมอ่ื นกั เรยี นทาแบบฝกึ ครบท้ัง ๑๐ แบบฝกึ แล้ว ใหน้ ักเรียนทาแบบทดสอบหลงั

พชี่ ายอามนี สมัครเปน็ ครูที่โรงเรียนบา้ นสาคู

คาแนะนาการใช้แบบฝกึ เสริมทกั ษะ ( สาหรับนักเรยี น )